วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประวัติ พระวิษณุกรรม คุรุเทพแห่งวิศวกรรมศาสตร์



เสนา อรุโณทัย



พระวิษณุกรรม หรือ พระวิศวกรรม
ก่อนอื่นขอให้ผู้อ่านอย่าสับสนระหว่าง พระวิษณุ กับ พระวิษณุกรรม เพราะพระวิษณุกรรมนั้นไม่ใช่ พระวิษณุหรือพระนารายณ์หรือเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ดั่งที่เข้าใจผิดกัน

พระวิษณุกรรม หรือพระวิศวกรรม

(Vishvakarman) มาจากภาษาสันสกฤต (อ่านว่า Visva-karman ) มีรากศัพท์ แปลว่า ผู้สร้างหรือผู้ที่ทำให้เกิดความสำเร็จอันมาจากการสร้าง ดังนั้นพระวิษณุกรรมในศาสนาฮินดูจึงเป็นเทพเจ้าแห่งสถาปัตยกรรมแลงานช่างทั้งปวง ถึงแม้เราจะรู้จักท่านในฐานะเทพการช่างแห่งสวรรค์แต่ความหมายและความสำคัญขององค์พระวิษณุกรรมนั้นลึกซึ้งมากกว่าที่ได้ยินกันมามาก


พระวิษณุกรรม หรือ พระวิศวกรรม คือเทพการช่างแห่งสวรรค์ บางครั้งผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าทำไมท่านจึงมีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น วิษณุกรรม พิษณุกรรม เวสุกรรม วิศวกรรม วิศวกรมัน พระฤาษีเพชฉลูกรรม และ ตวัสฤ คำตอบคงจะอยู่ที่ว่า ความเก่าแก่ในเรื่องประวัติของท่า บวกกับความโด่งดังที่กระจายไปในดินแดนต่าง ๆ จนทำให้ชื่อของท่านเปลี่ยนแปลงไป จริง ๆ แล้วประวัติของท่านนั้นเริ่มต้นจากคัมภีร์ฤคเวทซึ่งเป็นคัมภีร์เก่าแก่ของอินเดีย เขียนขึ้นมาประมาณ ๑๗๐๐ ถึง ๑๑๐๐ ปีก่อนคริสตกาล() เป็นคัมภีร์เล่มแรก ๆ ในวรรณคดีพระเวท เรียกว่าเป็นตำราที่เก่าแก่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ เนื้อหาส่วนมากจะเป็นบทสวดสรรเสริญคุณและอำนาจของเทวะและกล่าวถึงประวัติการสร้างโลกและจักรวาลโดยพระวิษณุกรรม แต่ในประเทศอินเดียเองก็มีทั้งยุคที่พราหมณ์รุ่งเรืองและยุคที่ฮินดูรุ่งเรืองต่างกาลต่างวาระกัน ผู้คนที่นิยมบูชาท่านก็กระจายออกไปหลายสาขา ดังนั้นทั้ง ฮินดู พราหมณ์ และ พุทธศาสนา จึงมีอิทธิพลต่อการออกเสียงเรียกชื่อองค์พระวิษณุกรรม เป็น พิษณุกรรมบ้าง เวสุกรรมบ้าง โดยเฉพาะในประเทศไทย การที่มีชื่อคล้องกับพระวิษณุซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์นั้น ทำให้พระวิษณุกรรมองค์จริงของเราถูกเข้าใจผิดไปได้ง่ายยิ่งขึ้น

ดังนั้นเราลองมาเรียนรู้และทำความรู้จักกับองค์พ่อตัวจริงของเราดู เริ่มต้นจากชื่อก่อน ในเอกสารต่อไปนี้ ผู้เขียนจะขอเรียกองค์พ่อว่า พระวิษณุกรรม หรือ พระวิศวกรรมา ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกต้องตามภาษาสันสกฤตตามบ้านเกิดของท่าน ส่วนผู้อ่านท่านใดที่ทำวิทยานิพนธ์หรือต้องการค้นคว้าเอกสารอ้างอิงในต่างประเทศต้องการประมูลเทวรูปหรือศึกษาด้านวัตถุโบราณให้หาดูในชื่อสากลของท่านที่ชื่อว่าว่า Vishwakarman หรือ Vishnukarman หรือ Bishnukarm ส่วนคำว่า เพชรฉหลูกรรมนั้น มาจากบทสวดที่ใช้ในพิธีพราหมณ์ เช่นในพระคาถาประจุน้ำมนต์ธรณีสาร ที่มีคำว่า “....... เพชรฉหลูกันเจวะ สัพพะกัมมะ ประสทธิเม .... “ ดังนั้นกลุ่มผู้บูชาที่เน้นพิธีกรรม เช่น เน้นทางพิธีพราหมณ์ต่าง ๆ หรือการไหว้ครูในทางดุริยศิลป์จึงมักเรียกท่านว่า พระเพชรฉลูกรรม หรืออาจเรียกท่านว่า พระฤาษีเพชรฉลูกรรม ส่วนตวัสฤนั้น คาดว่าคงจะมาจาก Tvasti ซึ่งมาจากภาษาสันสฤต และมักจะมีความหมายถึงพระวิษณุกรรมเช่นกัน บทสวดที่มาจากภาษาฮินดูโบราณที่เสียงคล้ายกับบทสวดในคัมภีร์ฤคเวท บทสวดที่เป็นภาษาฮินดูโบราณนี้มักใช้มากในประเทศเขมร เพราะราวช่วงที่เขมรรุ่งเรืองในยุคของนครวัด หรือประมาณ คริสตศักราช ๑๑๐๗ –๑๑๗๗ (ประมาณ พศ ๑๖๐๐) นั้น มีการบูชาพระวิษณุกรรมอย่างกว้างขวางเพราะเขมรสมัยนั้นได้รับอิทธิพลจากฮินดูค่อนข้างมากทำให้การบูชาพระวิษณุกรรมในไทยได้รับอิทธิพลมาจากเขมรบ้างในบางพิธี ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ยังมีบางสถาบันที่ยังใช้บทสวดที่เป็นภาษานี้อยู่ เช่น บทสวดที่ขึ้นว่า “....โอม สะศาง ขะจักรัม สะกิริฎะกุณตะลัม สิปตะวัสตรัม....” เป็นต้น

ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดของพระวิษณุกรรมนั้นไม่ชัดเจนและแตกต่างกันออกไปตามความเชื่อ แต่ในความคิดของผู้เขียนแล้วผู้เขียนอยากจะใช้ตำราฤคเวทไว้เป็นหลักเพราะฤคเวทไม่ใช่ตำนาน แต่ในคัมภีร์โบราณของอินเดียเป็นเอกสารที่จารึกเรื่องราวของพระวิษณุกรรมไว้เป็นลายลักษณ์อักษรมากกว่าตำนานต่าง ๆ ที่บอกเล่ากันมา ในคัมภีร์นี้ได้กล่าวไว้ว่าพระวิศวกรรมเป็นโอรสของพระประภาสและพระนางโยกสิฎฐา ทั้งบิดาและมารดาของพระวิษณุกรรมนั้นเป็นผู้ที่ใหญ่ที่มีอิทธิพลมาก พอสมควรเลยทีเดียว เพราะว่าพระประภาสเองก็เป็นถึงหนึ่งในวสุเทพบริวารของพระอินทร์ วสุเทพนี้ มีด้วยกัน ๘ องค์ คือ ๑) ธรณี (ดิน)) อาป(น้ำ) ) อนิล(ลม) )อนล(ไฟ) )องค์โสม(จันทร) ) ธรุระ(ดาว) )ประรัตยูร(รุ่ง) และ ๘ ประภาส(แสง) ส่วนพระนางโยกสิฏฐานั้นก็เป็นน้องสาวของพระพฤหัสบดี เป็นมหาคุรุเทพผู้เป็นครูของเทวดาทั้งหลายในกลุ่มของเทวดานพเคราะห์ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าที่เราทำพิธีไหว้ครูก็จะทำในวันพฤหัสบดีนั้นก็คืออิทธิพลของพี่ชายของแม่ขององค์พ่อของเรานั่นเอง

ส่วนในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์นั้นมีเอกสารอ้างอิงในหนังสือนารายณ์สิบปางว่าพระ อิศวรเป็นผู้ประทานพรแก่พระอินทร์ว่าให้มีพระวิศวกรรมเป็นคู่คิดไว้ใช้ต่างพระองค์ พอกล่าวถึงนารายณ์สิบปางก็อย่างเพิ่งสับสนเพราะในเรื่องนี้มีพระวิษณุอยู่สององค์คือพระวิษณุนารายณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาตามคำอธิษฐานของพระศิวะ(พระอิศวร) และ พระวิษณุกรรมองค์พ่อของเรา (เครือข่ายขององค์เทพก็มักจะอยู่ในแวดดงเดียวกัน ) เพื่อไม่ให้สับสนลองมาฟังเรื่องสนุก สนุกของพวกเทพหลังจากเกิดพิธีการกวนเกษียรสมุทรดู เกษียรสมุทร หรือ ขีรสาครคือทะเลน้ำนมอันเป็นหนึ่งในสี่ของจตุรมหาสมุทร ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะว่ามีน้ำมีสีขาวเหมือนน้ำนมอันเกิดจากการต้องรัศมีเงินที่ประดับอยู่บนเขาพระสุเมรุ หลังการพิธีกวนเกษียรสมุทรนั้นนอกจากจะได้น้ำอมฤตแล้วก็จะมีสิ่งวิเศษต่าง ๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือการกำเนิดของพระนางลักษมี หรือ พระศรี ซึ่งเป็นเทวีผู้เลอโฉม เธอที่มีความสวยงามเป็นที่สุด แต่ในคัมภีร์กล่าวไว้ว่ายามแรกเกิดนั้นพระนางลักษมีไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ ติดตัวมาเลยเลย คือไม่ได้เกิดแบบเด็กทารกที่ไม่มีเสื้อผ้า แต่พระนางเกิดมาก็โตเป็นสาวเลย ตามตำราบอกว่าท่านลอยขึ้นมาจากทะเลน้ำนม ลองคิดสภาพดู พระนางลักษมีเป็นสาวตัวอิ่มๆ ...ทั้งสวย... ทั้งไม่มีเสื้อผ้า ...ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากทะเลน้ำนม ลอยขึ้น ...ลอยขึ้น .....ลอยขึ้นมาช้า ๆ.... แบบ สโลว์โมชั่น มันเป็นภาพที่ทำให้บรรดาเหล่าเทพและยักษียักษาที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับตะลึงงัน ทุกพระองค์ ทั้ง พระศิวะ พระวิษณุ พระอินทร์ และ พระวิษณุกรรมาองค์พ่อของเรา เทพทุกพระองค์ต่างอยู่ในเหตุการณ์กันพร้อมพระพักตร์เลยทีเดียว แต่ปรากฏว่าขณะที่เทพทุกองค์กำลังตะลึงอยู่นั้น มีองค์พ่อของเราเท่านั้นที่ตั้งสติได้ ท่านจึงรีบเสกเครื่องทรงเป็นทองให้พระนางลักษมี ดังในกลอนที่กล่าวไว้ว่า

อันสุรเทพผู้ ศิลปี
วิศวกรรมาเอก ช่างนั้น
เนรมิตเครื่องทรงศรี สุวรรณรัตน์
จับแววจับช่อชั้น นภา

ครานั้นทรงเครื่องแล้ว พระศรี
เสด็จไปเฝ้าวิษ ณุไท้
บังคมพระจักรี กายยอม
วิษณุรับกอดไว้ กับทรวง

แต่หลังจากที่พระนางลักษมีได้เครื่องทรงแล้วแทนที่จะไปกอดองค์พ่อวิศวกรรมาของเรากลับเข้าไปหาพระวิษณุนารายณ์ (ผู้หญิงนะผู้หญิง) พระวิษณุนารายณ์เลยกอดพระลักษมีไว้ไว้กับอก(ตามกลอน) และแล้วพระนางลักษมีก็เลยกลายเป็นพระชายาของพระวิษณุนารายณ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จะเห็นว่าองค์พ่อของเรานอกจากจะครองสติได้ก่อนใครรีบเสกเครื่องทรงให้พระศรีแล้วยังมีใจอุเบกขาไม่โกรธ แล้วยังมีใจยินดีไปกับพระวิษณุอีก ท่านไม่บ่นไม่ว่าอะไรสักคำ รักเพื่อน จะเห็นได้ว่าองค์พ่อวิศวกรรมาของเรานี้ ท่านสมกับเป็นพรหมของพวกเราจริง ๆ เพราะองค์พ่อมีครบพรหมวิหารสี่ คือ ทั้งความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาอันเป็นคุณสมบัติของพรหมแท้ ๆ

ในทางพระพุทธศาสนามีความเชื่อว่าพระวิศวกรรมคือเพื่อนของพระมาฆมานพ ตามตำราบอกว่า มาฆมานพนั้นมีทะเบียนบ้านอยู่ที่ ตำบลจุลคาม แคว้นมคธ เมื่อครั้นยังมีชีวิตอยู่ได้ร่วมมือกันทำสาธารณประโยชน์ไว้มากมาย เช่นได้ทำการแผ้วถางทางเพื่อสร้างทางเดิน ให้ผู้คนในหมู่บ้าน ในขณะที่สร้างก็มีคนมาถามไถ่ว่าจะสร้างทางไปไหนหรือท่าน ? มาฆมานพก็ตอบไปแบบใสใส ว่ากำลังว่าสร้างทางไปสวรรค์อยู่ บรรดาพวกที่ถามก็เลยเกิดอาการถูกชะตา ดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาทันที รีบไปรวบรวมผู้คนที่มีอุดมการณ์เดียวกันจนได้กำลังคนมา ๓๓ คน ซึ่งต่อมาทั้ง ๓๓ คนนั้นก็เลยมาร่วมด้วยช่วยกันสร้างศาลาเพื่อเป็นทางไว้ไปสวรรค์ โดยที่การสร้างศาลานั้น มาฆมานพได้ไปเชิญช่างไม้ที่มีความสามารถผู้หนึ่งมาเป็นนายงาน นายช่างไม้ผู้นี้ก็ได้แสดงวิทยายุทธจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของคนในหมู่บ้าน สร้างศาลาแบบเริด สุดฝีมือ ในที่สุดศาลาหลังนั้นก็สำเร็จ งดงามเป็นประโยชน์แก่ผู้สัญจรไปมาด้วยการกระทำของมาฆมานพซึ่งรับบทเป็นผู้กำกับและนายช่างไม้ที่รับบทเป็นช่างก่อสร้างรวมทั้งบรรดาคนงานที่มาช่วยอีก ๓๓ คน เลยทำให้อานิสงส์ของกุศลดังกล่าวส่งให้ เหล่าคนงานที่มาร่วมด้วยช่วยกันนั้นกลายเป็นเทพยดาในสรวงสวรรค์เมื่อถึงแก่กรรม ส่วนมาฆมานพก็กลายเป็นพระอินทร์ และนายช่างก็ได้ไปเกิดเป็นเทพแห่งการช่างของสรวงสวรรค์ ชื่อพระวิษณุกรรม หรือ พระวิศวกรรม


ในพระพุทธศาสนานั้นเชื่อว่าพระวิษณุกรรมมีหน้าที่คอยรับใช้พระอินทร์เสมอ เมื่อพระอินทร์ใคร่จะสร้างเทวาลัยสถานที่หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดพระวิษณุกรรมก็มีหน้าที่รับภาระสนองจัดสร้างให้ตามที่พระอินทร์ต้องการ ดังปรากฏเรื่องราวของพระวิษณุกรรมในวรรณคดีหลายเรื่อง เช่น เรื่องพระเวสสันดรชาดก เมื่อพระเวสสันดรเสด็จไปอยู่เขาวงกตไม่มีศาลาที่อาศัย องค์พระวิษณุกรรมก็ลงมาเนรมิตอาศรมให้ดังความในนิบาตชาดกตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า


ในขณะนั้นพิภพท้าวสักกเทวราชมีอากาศร้อน เมื่อท้าวสักกเทวราชใคร่ครวญทราบเหตุนั้นแล้ว ทรงพระราชดำริว่าพระมหาสัตว์เสด็จสู่ประเทศหิมวัน ท้าวเธอควรจะได้สถานที่ประทับอาศัย จึงตรัสเรียกพระวิสสุกรรมเทวบุตร มาตรัสสั่งว่า แน่ะพ่อ เธอจงไปนิรมิตอาศรมบทในที่เป็นรัมณียสถานใกล้เวิ้งวงกต แล้วทรงส่งวิสสุกรรมเทพบุตรไป เทพบุตรนั้นก็รับเทวบัญชาว่า สาธุ แล้วลงจากเทวโลกไปถึงที่นั้น นิรมิตบรรณศาลา ๒ หลัง ที่จงกรม ๒ แห่ง กับที่พักกลางคืน และกลางวัน จัดสรรกอไม้ดอกอันวิจิตรด้วยบุปผชาตินานาพรรณ และสวนกล้วยไม้ในสถานนั้นๆ ณ ที่สุดแห่งจงกรม แล้วจัดบรรพชิตบริขารไว้ครบถ้วน จารึกอักษรไว้ว่า ผู้ใดปรารถนาจะบรรพชา ผู้นั้นจงถือเอาบริขารเหล่านี้เถิด แล้วก็จัดเหล่าอมนุษย์ และเสียงอันน่าสยดสยองฝูงมฤคปักษีให้ปลาตหนีไปเสีย จึงกลับสู่สถานที่ของตน”()

ตามตำนานทางพระพุทธศาสนายังมีต่ออีกว่าในเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาบนสรวงสวรรค์นั้นพระวิษณุกรรมได้สร้างทางเดินบันไดเงิน บันไดทอง บันไดแก้ว() เพื่อเป็นทางทอดจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์กลับมายังโลกมนุษย์ที่เมืองสังกัสสนคร นอกจากนั้นท่านยังเป็นผู้สร้างวาฬสังฆาตยนต์ ซึ่งเป็นกงล้อหมุนรอบองค์พระสถูป ปกปักรักษาป้องกันมิให้บุคคลเข้าใกล้พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งที่พระเจ้าอชาตศัตรูได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุหลังพุทธปรินิพพานและอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในองค์พระสถูปที่ว่านี้ ()()



ส่วนการกำเนิดของพระวิศวกรรมที่ปรากฏในพงศาวดารเขมรกลับไม่ซ้ำกับทั้งทางความเชื่อของพุทธ พราหมณ์ หรือ ฮินดูเลย เขมรเชื่อว่าพระวิษณุกรรมนั้นเป็นบุตรของชาวจีนจากเซียงไฮ้ ที่ยากจนคนหนึ่งชื่อหลิมเสงกับนางทิพยสุดาจันทร์ผู้เป็นนางฟ้าที่พระอินทร์สาปให้มาเป็นภรรยาของนายหลิมเสง ต่อมานางทิพสุดาจันทร์ได้เหาะกลับสวรรค์และนำพระวิสสุกรรมกลับขึ้นไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ด้วย เมื่อรู้จักกันแล้วพระอินทร์เห็นว่า วิสสุกรรม หรือ โปปูสโนการ ชอบงานทางช่างจึงโปรดให้เทพบุตรสอนงานช่างให้ พร้อมทั้งอนุญาตให้นำความรู้ไปเผยแพร่สั่งสอนมนุษย์ที่นับถือศาสนาพุทธ จะเห็นว่ารูปปั้น เก่า ๆ ขององค์พระวิษณุกรรมมักขุดพบในประเทศเขมร ซึ่งส่วนมากจะเป็นเทวรูปองค์พ่อในช่วงศตวรรษที่ ๑๑๑๓-๑๑๕๐ (ประมาณพุทธศักราช ๑๖๐๐) ช่วงที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ขึ้นครองราชย์ และ สร้างนครวัดขึ้นมา ผู้เขียนเลยอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่าหรือเป็นเพราะว่าชาวเขมรสมัยนั้นคงตั้งใจกันสักการะบูชาองค์พ่อกันมากจนทำให้มีกำลังและสติปัญญาและพละกำลังที่สรรค์สร้างนครวัด นครธม ได้ มีข้อน่าสังเกตอีกประเด็นหนึ่งก็คือตามตำราคัมภีร์ฤคเวทกล่าวถึงองค์พระวิษณุกรรมว่าท่านเป็นเทพผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมีสติปัญญาเฉียบแหลม อีกทั้งมีความแข็งแกร่งเป็นเลิศ(supreme strength and vision) ท่านมีอำนาจพิเศษที่สามารถมองเห็นอนาคต และท่านก็มีพลังที่สามารถจะปกป้องสถาปัตยกรรมที่สร้างไว้ให้พ้นจากภัยพิบัติต่าง ๆ ได้อีกด้วย () ดังนั้นการที่นครวัดนั้นยังคงความสวยงาม และยังมีหลักฐานเหลืออยู่ให้เราศึกษาการวางผังเมืองที่เป็นงานโยธาที่ล้ำเลิศในอดีตจนทำให้เป็นมรดกโลก ให้คนได้ไปชมความวิจิตรตระการตาได้จนทุกวันนี้คงเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระพระวิษณุกรรมองค์พ่อของเราเป็นแน่

----------------------

อ้างอิง
() Oberlies (1998;155) give an estimate of 1100 BC for youngest hyms in Book 10 Estimate for terminus post quem of the ealiest humn are far more uncertain. (Oberlis p. 158 based on cumulative evidence sets wide range of 1700
(). พสุ บุญวิสุทธิ์ วารสารช่างพูด วารสารรายเดือน คณะวิศวกรรมศาสตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฉบับที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๘ หน้า ๘๗ และ อ.ดร ชนินทร์ วิศวินธานนท์ “ความ(มัก)เข้าใจผิดเกี่ยวกับ “เทพแห่งวิศวกรรม” วารสารช่างพูด ฉบับที่ ๔/๔๘ ข่าวรายเดือน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ๙เวสันดรจริยา อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฏก การบำเพ็ญเพียรบารมี
() อรรถกถา สรภชาดก ว่าด้วย ละมั่งทำคุณแก่พระราชา
() ธาติถูปปูชาวณณนา. มหาปรินิพพานสูตร อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค
() FreeIndia organization site dedicated to freedom movement , education , culture published on 2003-01-31
Retreived from “http;..www.freeindia.org/dynamic/modules
Freeindia/biographies/sages,rushis and saints/visvakarma
Raina, M.K. (1999) “The Divine Creativity:Thy Mythical paradigm and loard Visvakarman” in Stein, M.I., Creativity”s Global Correspondents 1999 . Florida Winslow press, pp 75-20 Correspondents/ Global_1999pdf
Retrieved from HYPERLINK "http://en.wikipedia.org/wiki/Vishvakarman" http://en.wikipedia.org/wiki/Vishvakarman
Categories:Rigvedic deities/hindugods/smithing gods/crafts gods
Retrieved from “http://www.hinduwiki.com/index.php?title=Parvati”
Categories: Hindo goddesses/Popular hindu gods/ divine mothers
Retrieved from “http://www.mumbai-central.com/nukkad/sep2006/msg00186.htmal”
Retrieved from HYPERLINK "http://www.hinduwiki.com/index.php?title+Vishvakarman" http://www.hinduwiki.com/index.php?title+Vishvakarman
Categories: hindugods/persons from puranas

Retrieved from “http://fridayantiques.com/index_khmer.htm/Ankor period”

------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น